ปัจจุบันนี้กลุ่มคนมิลเลนเนียลเข้ามามีบทบาทต่อสังคมโลกอย่างมาก กลุ่มคนเหล่านี้คือ เจน Y ที่มีอายุ 17-36 ปี เป็นกลุ่มคนที่มีกำลังซื้อสูง กล้าตัดสินใจ และพร้อมเปิดรับสิ่งใหม่อยู่เสมอ สำหรับใครที่คิดจะเพิกเฉยต่อกลุ่มคนเหล่านี้ บอกได้เลยว่าคุณกำลังคิดผิด ข้อมูลจาก บอกไว้ว่า ประชากรกลุ่มมิลเลนเนียลในเอเชียเป็นคนกลุ่มใหม่ที่มีกำลังซื้อสูงในตลาดผู้บริโภคทั่วโลก มีจำนวนสูงมากถึง 410 ล้านคน หากคุณต้องการดึงกลุ่มลูกค้าเหล่านี้ให้อยู่หมัด 10 เคล็ดลับต่อไปนี้ที่รวบรวมจากประสบการณ์ตรงของผู้เขียนจากการเป็นเจ้าของร้านมานานหลายปี อาจช่วยคุณได้
1. ร้านค้าควรให้ความสำคัญกับระบบชำระเงินแบบไร้รอยต่อ (Seamless Payments)
แน่นอนว่าประชากรกลุ่มมิลเลนเนียลเลือกที่จะลดความยุ่งยาก ตั้งแต่การเปิดกระเป๋า ล้วงหากระเป๋าสตางค์ ไปจนถึงการนำเงินออกมานับและยื่นให้กับแคชเชียร์ พวกเขาเลือกที่จะใช้ระบบการชำระเงินที่สะดวกสบาย ไม่ต้องใช้เงินสด นั่นคือ การชำระผ่านทางไอโฟน (อย่างที่รู้จักกันในชื่อ Apple Pay) หรือ ชำระผ่านบัตรเครดิตผ่านทาง PayWave ซึ่งเป็นระบบที่ต่างจากบัตรเครดิตทั่วไปคือ การชำระเงิน ก็เพียงแค่นำบัตรไปแตะเครื่องอ่านบัตรแบบ Contactless ก็ชำระเงินเสร็จทันที สะดวก ง่าย บัตรไม่เสีย ในขณะที่บัตรเครดิตทั่วไป จะต้องรูดบัตร หรือเสียบบัตร แล้วรอเซ็นสลิปด้วย ( It24hrs https://www.it24hrs.com/2017/visa-paywave-contactless/)
แต่การเปลี่ยนระบบชำระเงินแบบไร้รอยต่อจะช่วยธุรกิจเล็กๆ ของคุณได้อย่่างไร คำตอบคือ มันจะทำให้การใช้จ่ายง่ายขึ้นมาก รวมไปถึงระบบความปลอดภัยด้วย ระบบนี้ช่วยให้คุณสร้างยอดขายได้มากขึ้น โดยเฉพาะในชั่วโมงเร่งด่วน และอำนวยความสะดวกของลูกค้าที่จะไม่ต้องรอคิวนานอีกต่อไป
2. อย่าลืมสร้างสื่อออนไลน์ให้กับร้านของคุณ
กลุ่มคนมิลเลนเนียลมักจะใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับสมาร์ทโฟน นั่นก็แปลว่าพวกเขามักจะเข้าไปเช็คร้านค้าของคุณอยู่เสมอเพื่อเป็นข้อมูลในการตัดสินใจว่าร้านของคุณน่าไปหรือไม่ หากไม่มีการโปรโมทร้านค้าผ่านทางโซเชียลมีเดียเลยอาจจะทำให้ร้านของคุณดูไม่น่าเชื่อถือ ทั้งที่ความจริงร้านของคุณไม่ได้เป็นแบบนั้น ทั้งหมดก็เพียงเพราะชาวมิลเลนเนียลต้องการทราบว่าร้านค้านั้นๆ มีความน่าสนใจและมีอะไรให้พวกเขาบ้าง และมันจะคุ้มค่ากับการเดินทางไปหรือไม่
3. สวยเรียบแบบมินิมอลลิสต์
มันก็จริงอยู่ว่าร้านค้าขายดีจะขึ้นอยู่กับสินค้าและบริการที่ดี แต่ผู้เขียนพบว่า นอกจากสินค้าและบริการแล้ว ชาวมิลเลนเนียลมองว่าการตกแต่งร้านค้าที่เรียบง่ายแบบมินิมอลลิสต์ ดูน่าสนใจกว่าร้านค้าที่วางสินค้าแบบรกหูรกตา มากมายจนเลือกซื้อไม่ได้
นี่คือร้าน Convent Garden ของแบรนด์ Aesop ที่มีการตกแต่งภายในอย่างเรียบง่าย เน้นให้ลูกค้าเห็นผลิตภัณฑ์ของบริษัทอย่างชัดเจน นอกจากจะให้ความสะดวกสบายแก่ลูกค้า ยังมีความเรียบง่ายและสวยงาม ซึ่งสำหรับชาวมิลเลนเนียลแล้ว มันคือบรรยากาศที่ถูกใจใช่เลย
คุณเองก็สามารถทำได้โดยจัดการกับพื้นที่ภายในร้านให้ดูสบายตา อย่าปล่อยให้สินค้าดูรกจนเกินไป เก็บมันไว้ในห้องเก็บของหลังร้านบ้างก็ได้ และจัดโซนสินค้าและบริการของคุณให้ออกมาในลักษณะที่ลูกค้ามองเห็นและเข้าถึงได้รวดเร็วทันที
4.ช่องทางการสมัครสมาชิกเพื่อรับสินค้า (Subscription Shopping) [restrict]
ชาวมิลเลนเนียลทั้งหลายต่างก็งานยุ่ง แถมต้องเดินทางไปไหนมาไหนตลอดเวลา การมีตัวช่วยอย่าง Curated Box จะช่วยให้พวกเขาประหยัดเวลาได้มากขึ้นและได้ของที่ตรงตามความสนใจอีกด้วย Curated Box ให้อารมณ์คล้ายกับกล่องของขวัญที่ถูกจัดมาเพื่อคุณลูกค้าทุกคน โดยดูจากความต้องการและหมวดหมู่ที่วิเคราะห์มาแล้วโดยโปรแกรมการสมัครซื้อสินค้า มันช่วยอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าและมีบริการส่งถึงที่อีกต่างหาก
Subscription Box หรือ ธุรกิจที่ใหู้กค้าสมัครสมาชิกรายเดือนเพื่อรับสินค้า เหมือนกันการสมัครสมาชิกนิตยสาร แต่สินค้าที่ได้รับ ก็จะแตกต่างกันไปตามวัตถุประสงค์ของบริษัท ซึ่ง โดยทั่วไปแล้ว Subscription Box คือกล่องส่วนบุคคลที่เต็มไปด้วยรายการสินค้า และลูกค้าแต่ละคนจะได้รับสินค้าของทางบริษัทไปใช้ ซึ่งร้านค้าเองก็ต้องอนุญาตให้ลูกค้าส่งสินค้าตีกลับ ในกรณีที่พวกเขาไม่ชอบหรือไม่พึงพอใจ และทางบริษัทก็จะเก็บเป็นฐานข้อมูลของคนๆ นั้นได้ว่ามีรสนิยมและความชอบแบบไหน
วิธีการนี้จะช่วยให้ลูกค้าประหยัดเวลาในการซื้อสินค้า เพราะมี Curated Box ที่เป็นเหมือนสไตล์ลิสต์ส่วนตัวมาช่วยเลือกให้กับมือ! ด้วยวิธีการที่มีประสิทธิภาพและตรงตามความต้องการของแต่ละบุคคลแบบนี้ ชาวมิลเลนเนียลจะไม่ชอบได้ไง!
5. Loyalty Program กลยุทธ์มัดใจลูกค้า
Loyalty Program คือโปรแกรมสร้างความภักดีให้เกิดขึ้นระหว่างลูกค้ากับแบรนด์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า หรือพูดอีกอย่างก็คือการทำ “CRM” นั่นเอง ซึ่งการปรับ
Loyalty Program ให้เหมาะสมกับประชากรกลุ่มมิลเลนเนียลของคุณ คือ การตั้งค่าแอปพลิเคชันให้มีที่จัดเก็บรางวัลของลูกค้า (อารมณ์เหมือนบัตรสะสมแต้ม) และมีฟังก์ชันให้สามารถเชื่อมกับสื่อโซเชียลอื่นๆ ได้ด้วย การที่แอปพลิเคชันของคุณทำให้ผู้ใช้เกิดการปฎิสัมพันธ์กับเพื่อนๆ ได้ จะยิ่งทำให้พวกรู้สึกอยากใช้มันตลอดเวลาหรือใช้ไปนานๆ
ระบบที่จะให้รางวัล หรือมอบโปรโมชั่นให้กับลูกค้าไม่ควรซับซ้อนจนเกินไป กุญแจสำคัญคือแอปพลิเคชันของคุณจะต้องมีหน้าต่างการใช้งานที่เรียบง่ายและเข้าใจได้ทันที วิธีนี้จะช่วยสร้างความภักดีของลูกค้าที่มีต่อแบรนด์และทำให้ลูกค้ากลับมาใช้บริการอย่างสม่ำเสมอ
6. ทำความรู้จักกับลูกค้าของเราไว้ก็ดีนะ
การบริการที่ดีที่สุดก็คือการจดจำรายละเอียดของลูกค้าทุกคนผ่านบัตรสะสมแต้ม หรือบัตรสมาชิกนั่นเอง เมื่อมีข้อมูล คุณก็จะสามารถบริการลูกค้าแต่ละคนตามความพึงพอใจและความชื่นชอบของพวกเขาได้ตรงจุดมากขึ้น
นอกจากนี้ร้านค้ายังสามารถใกล้ชิดกับลูกค้าได้โดยการส่งข้อมูลข่าวสาร การแจ้งเตือนทางโทรศัพท์ ตัวอย่างเช่น คุณสามาส่งจดหมายในหัวข้อ “โปรโมชั่นสุดพิเศษให้กับคุณ!” หรือจะเป็น “ยังนึกถึงเดรสแสนสวยตัวนั้นอยู่รึเปล่า? ตอนนี้ลด 20%!”
7. ให้อารมณ์ของความบ้านๆ โลคอลๆ หน่อย
ชาวมิลเลนเนียลเป็นกลุ่มคนที่เชื่อมโยงกับสังคมขนาดใหญ่ แต่พวกเขาเองยังคงสนใจเกี่ยวกับโลกภายนอก หรือพูดง่ายๆ ว่าอยากได้อารมณ์ความเป็นท้องถิ่น ชาวบ้านๆ อยู่มากทีเดียว แม้ว่าเราจะมองว่าคนเหล่านี้ติดอยู่กับโลกแห่งดิจิทัลมากเกินไปก็ตาม ลองทำธุรกิจของคุณให้มีความเป็นพื้นเมืองสักหน่อย โดยอาจจะเป็นการไปสนับสนุนธุรกิจในท้องถิ่น การทำแบบนี้อาจจะได้รับความสนใจจากชาวมิลเลนเนียลได้เช่นกัน ลองนึกให้ออกว่าผู้ผลิตต่างประเทศแบบไหนบ้างที่คุณสามารถเปลี่ยนมันให้เข้ากับความเป็นท้องถิ่นของคุณเองได้
8. มอบตัวเลือกที่หลากหลาย
ชาวมิลเลนเนียลเป็นกลุ่มคนที่มีความพิเศษ ลองนึกภาพตาม หากคุณต้องเสิร์ฟอาหาร คุณจะต้องแน่ใจว่าในเมนูของคุณมีตัวเลือกมากมายและอาหารที่หลากหลายชนิด อย่างอาหารมังสวิรัติ, อาหารสำหรับคนแพ้น้ำตาลแลคโตส (lactose intolerance), อาหารฮาลาล หรืออาหารที่ไม่มีส่วนผสมของไข่ การมีตัวเลือกมากมายแบบนี้จะทำให้ลูกค้ารู้สึกถึงความใส่ใจและการบริการที่ดีเลิศ
9. จะขายอะไร ต้องคิดเสมอว่า ของสิ่งนั้นมันต้องมี!
นึกถึงการเพิ่มสินค้าและบริการใหม่ๆ ที่คุณจะมอบให้ลูกค้าดูสิ ลองนึกดูว่าทำไมถึงมีแบตสำรองออกมาขาย และขายดีมากด้วย? ก็เพราะว่าชาวมิลเลนเนียลติดโทรศัพท์อยู่ตลอดเวลา จนมันเป็นปัจจัยที่ห้าไปแล้ว และพวกเขายอมจ่ายเงินให้กับแบตสำรองหรืออะไรก็ตามเพื่อให้แบตโทรศัพท์ของพวกเขาเต็มอยู่ตลอดเวลา บอกได้เลยว่า จะออกไปไหน มันต้องมีแบตสำรองพกไว้จริงๆ นะ
นี่เป็นวิธีหนึ่งที่คุณจะเพิ่มกำไรให้กับธุรกิจของตัวเองได้ และมันก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะเริ่มคิดตอนนี้เลย!
10. เสนอวิธีที่ทำให้ลูกค้าของคุณ ได้ทำอะไรกลับคืนสู่สังคมดูสิ
จำหัวข้อที่ผู้เขียนได้เล่าถึงความบ้านๆ หรือโลคอล ได้รึเปล่า? ชาวมิลเลนเนียลต่างก็ต้องการมอบบางสิ่งบางอย่างกลับสู่สังคมของพวกเขา ซึ่งคุณเองก็สามารถหาวิธีให้พวกเขาได้ง่ายๆ เลย อาจจะเป็นการทำงานร่วมกับองค์กรที่ไม่หวังผลกำไรในประเทศของคุณ และให้ตัวเลือกกับผู้บริโภคที่จะได้ใช้จ่ายเพื่อทำการกุศล อย่างเช่น การซื้อของบางชิ้น โดยเงินจำนวนนั้นแบ่งไปเพื่อบริจาคให้กับมูลนิิธิเด็กยากไร้, บ้านพักคนชรา หรือองค์กรการกุศลอื่นๆ
อย่างร้าน Cotton On Foundation คุณเองก็สามารถขายกระเป๋า, กระดาษทิชชู และกำไลน่ารักๆ และนำเงินที่ได้ไปบริจาคให้กับองค์กรการกุศล แต่ทำไมเราไม่เริ่มจากอะไรเล็กๆ อย่างเช่น การขอรับบริจาคเงินเพื่อการกุศล หรือการแบ่งเปอร์เซนต์จากรายได้ของตัวเองเพื่อนำไปบริจาค วิธีนี้จะทำให้ธุรกิจของคุณไม่เพียงแต่จะดึงดูดความสนใจจากชาวมิลเลนเนียลเท่านั้น มันยังสร้างประโยชน์กลับสู่สังคมอีกด้วย
ฝากไว้ท้ายบท
ชาวมิลเลนเนียลมีความหลากหลายและยังมีความชื่นชอบอีกมากมายที่คุณต้องให้ความสำคัญ แต่ไม่ต้องเครียดมากเกินไปที่จะรีบทำตามความต้องการของพวกเขาทั้งหมด แต่ให้ค่อยๆ เริ่มจากหนึ่งหรือสองอย่างก่อน มันก็ทำให้คุณสามารถขับเคลื่อนธุรกิจเล็กๆ ให้เติบโตต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพอย่างแน่นอน
[/restrict]